ฮอร์โมน P4 หรือโปรเจสเตอโรน สำคัญอย่างไร

ฮอร์โมน P4 หรือโปรเจสเตอโรน (Progesterone) มีความสำคัญในการช่วยให้ตัวอ่อนฝังตัวในมดลูกได้สำเร็จ

หน้าที่หลักของโปรเจสเตอโรน

  1. เตรียมเยื่อบุโพรงมดลูกให้พร้อมสำหรับการฝังตัวของตัวอ่อน
  • หลังจากการตกไข่ รังไข่จะเริ่มผลิตโปรเจสเตอโรน ซึ่งช่วยกระตุ้นให้เยื่อบุโพรงมดลูก (endometrium) มีความหนาและสมบูรณ์ขึ้น เพื่อเตรียมรองรับตัวอ่อน แต่ถ้าหากเยื่อบุโพรงมดลูกไม่หนาพอ และไม่สมบูรณ์พอ ตัวอ่อนก็จะไม่สามารถฝังตัวได้
  1. ป้องกันการหดตัวของกล้ามเนื้อมดลูก
  • ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการรักษาการตั้งครรภ์ในระยะแรก โดยป้องกันการหดตัวของกล้ามเนื้อมดลูก ซึ่งอาจทำให้ตัวอ่อนถูกขับออกจากมดลูกก่อนที่จะฝังตัวสำเร็จ
  1. ส่งเสริมการพัฒนาของตัวอ่อนหลังการฝังตัว
  • หลังจากที่ตัวอ่อนฝังตัวและเริ่มพัฒนาไปเรื่อย ๆ  โปรเจสเตอโรนจะช่วยให้การสร้าง รก (placenta) ซึ่งรกมีความสำคัญในการนำสารอาหาร และออกซิเจนจากแม่ไปยังทารกในครรภ์ 
  1. ป้องกันการหลุดของตัวอ่อนหลังจากการฝังตัวในมดลูก
  • โดยโปรเจสเตอโรนมีหน้าที่ป้องกันไม่ให้ตัวอ่อนถูกขับออกจากมดลูกในช่วงแรก ๆ ของการพัฒนา ถ้าหากไม่มีการตั้งครรภ์ ระดับโปรเจสเตอโรนจะลดลง และเยื่อบุโพรงมดลูกจะหลุดลอกออก ทำให้เกิดการมีประจำเดือน แต่ถ้ามีการตั้งครรภ์เกิดขึ้น โปรเจสเตอโรนจะยังคงสูงขึ้น เพื่อป้องกันการหลุดลอกของเยื่อบุโพรงมดลูก ทำให้ตัวอ่อนสามารถพัฒนาได้ต่อไป

หากฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (P4) ต่ำจะส่งผลอย่างไร

  1. มีปัญหาในการตั้งครรภ์:
    • โปรเจสเตอโรนมีบทบาทสำคัญในการเตรียมเยื่อบุโพรงมดลูกให้พร้อมสำหรับการฝังตัวของตัวอ่อน หากระดับโปรเจสเตอโรนต่ำ เยื่อบุโพรงมดลูกอาจไม่หนาพอที่จะรองรับตัวอ่อน ทำให้การฝังตัวล้มเหลว หรือมีความเสี่ยงในการแท้งบุตรสูงขึ้น
    • สำหรับผู้ที่ทำ IVF (การทำเด็กหลอดแก้ว) การมีระดับโปรเจสเตอโรนที่เพียงพอเป็นสิ่งสำคัญมาก เพื่อเพิ่มโอกาสในการฝังตัวและพัฒนาการของตัวอ่อน
  2. ปัญหาในรอบเดือน:
    • หากระดับโปรเจสเตอโรนต่ำ ร่างกายอาจไม่สามารถรักษาสมดุลของฮอร์โมนได้ ทำให้รอบเดือนผิดปกติ เช่น ประจำเดือนมาน้อยหรือขาดหายไป
    • อาจเกิดปัญหาภาวะไข่ไม่ตก (anovulation) ซึ่งทำให้ไม่สามารถตั้งครรภ์ได้
  3. ภาวะก่อนประจำเดือน (PMS):
    • ระดับโปรเจสเตอโรนต่ำสามารถทำให้เกิดอาการก่อนมีประจำเดือนที่รุนแรง เช่น ปวดท้อง ปวดหัว อารมณ์แปรปรวน หรือความอ่อนเพลีย
  4. ภาวะแท้งคุกคาม:
    • สำหรับผู้ที่ตั้งครรภ์อยู่ หากระดับโปรเจสเตอโรนต่ำในระยะแรกของการตั้งครรภ์ จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการแท้ง

หากพบว่าระดับโปรเจสเตอโรนต่ำ โดยเฉพาะในระหว่างการทำ IVF หรือในช่วงที่พยายามตั้งครรภ์ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจเพิ่มเติม และแพทย์อาจแนะนำการเสริมโปรเจสเตอโรนเพื่อสนับสนุนกระบวนการต่อไป

โปรเจสเตอโรน (Progesterone) สูง มีได้หลายสาเหตุ อาจเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติหรือผลจากการรักษาทางการแพทย์

สาเหตุที่โปรเจสเตอโรนสูง

  1. มีการตั้งครรภ์
    • ระหว่างการตั้งครรภ์ โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสแรก รังไข่และต่อมหมวกไตจะผลิตโปรเจสเตอโรนมากขึ้น เพื่อสนับสนุนการตั้งครรภ์ ซึ่งถือว่าเป็นปกติและจำเป็นในการรักษาสภาพแวดล้อมของมดลูก และป้องกันการแท้งบุตร
  2. ในช่วงหลังตกไข่ (Luteal Phase)
    • ในรอบเดือนของผู้หญิง ระดับโปรเจสเตอโรนจะเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งหลังของรอบเดือนหลังการตกไข่ เพื่อเตรียมความพร้อมให้เยื่อบุโพรงมดลูกรองรับการฝังตัวของไข่ที่ผสมแล้ว
  3. การใช้ยาฮอร์โมน หรือการรักษาด้วยการทำเด็กหลอดแก้ว
    • สำหรับผู้ที่ทำเด็กหลอดแก้ว หรือผู้ที่ทำการรักษาเพื่อมีบุตร ยาเสริมโปรเจสเตอโรนมักจะถูกใช้เพื่อช่วยเตรียมมดลูกและสนับสนุนการฝังตัวของตัวอ่อน การได้รับฮอร์โมนเสริมอาจทำให้ระดับโปรเจสเตอโรนสูงขึ้น
  4. ความผิดปกติของถุงน้ำรังไข่ (Corpus Luteum Cyst)
    • ถุงน้ำรังไข่ที่เกิดจากการตกไข่อาจทำให้เกิดการผลิตโปรเจสเตอโรนมากกว่าปกติในระยะเวลาสั้น ๆ ซึ่งเป็นภาวะที่มักพบได้ในบางกรณีของ PCOS (ภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ)
  5. ภาวะต่อมหมวกไตผลิตฮอร์โมนมากเกินไป (Congenital Adrenal Hyperplasia)
    • ความผิดปกติในการทำงานของต่อมหมวกไต อาจทำให้เกิดการผลิตโปรเจสเตอโรนสูงเกินไป
  1. เนื้องอกในรังไข่หรือมดลูก
  • เนื้องอกที่ผลิตฮอร์โมน (เช่น เซลล์ลูเทียม หรือ เซลล์สเตียรอยด์) อาจทำให้เกิดการผลิตโปรเจสเตอโรนสูงขึ้น
  1. การใช้ยา
  • ยาบางชนิด เช่น ยาคุมกำเนิด หรือฮอร์โมนที่ใช้ในการรักษาภาวะอื่น ๆ อาจส่งผลให้ระดับโปรเจสเตอโรนสูงขึ้น
  1. ความเครียด
  • ความเครียดในระดับสูงอาจทำให้ระดับฮอร์โมนในร่างกายเปลี่ยนแปลง ซึ่งอาจมีผลต่อระดับโปรเจสเตอโรน

ผลกระทบจากโปรเจสเตอโรนสูง

  1. อาการในร่างกาย
    • อาจเกิดอาการบวมน้ำ น้ำหนักขึ้น หรือท้องอืด
    • อาจทำให้รู้สึกเวียนหัว เหนื่อยล้า หรืออ่อนเพลีย
    • มีอาการเจ็บคัดเต้านม หรือรู้สึกอึดอัดบริเวณหน้าอก
    • มีสิวหรือปัญหาผิว เนื่องจากฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง
    • บางคนอาจมีอารมณ์แปรปรวน หรือรู้สึกซึมเศร้า หรือวิตกกังวล
  2. ส่งผลต่อรอบเดือน
    • ระดับโปรเจสเตอโรนที่สูงเกินไปอาจทำให้รอบเดือนมาไม่ปกติ หรืออาจทำให้ประจำเดือนมาช้ากว่าปกติ
  3. ส่งผลต่อการเจริญพันธุ์
    • ในกรณีของการทำ IVF ระดับโปรเจสเตอโรนที่สูงเกินไปก่อนการย้ายตัวอ่อนอาจส่งผลต่อการฝังตัวได้ เนื่องจากเยื่อบุโพรงมดลูกอาจเตรียมตัวล่วงหน้ามากเกินไป

ระดับฮอร์โมน P4 (โปรเจสเตอโรน) ที่ถือว่าปกติจะแตกต่างกันไปตามช่วงเวลาของรอบเดือนหรือการตั้งครรภ์ โดยทั่วไปมีค่าดังนี้

  1. ในผู้หญิงที่ไม่ได้ตั้งครรภ์
  • ช่วงก่อนตกไข่ (Follicular Phase):
    • 0.1 – 0.9 ng/mL
  • ช่วงตกไข่ (Ovulation Phase):
    • 1.8 – 3.0 ng/mL
  • ช่วงหลังตกไข่ (Luteal Phase):
    • 2.0 – 25.0 ng/mL
  • ค่าช่วงหลังตกไข่จะสูงขึ้นเพราะรังไข่จะผลิตโปรเจสเตอโรนเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการฝังตัวของไข่
  1. ในผู้หญิงที่ตั้งครรภ์

ระดับโปรเจสเตอโรนจะสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงตั้งครรภ์เพื่อสนับสนุนการพัฒนาของทารกและป้องกันการแท้งบุตร:

  • ไตรมาสแรก:
    • 10 – 44 ng/mL
  • ไตรมาสที่สอง:
    • 19.5 – 82.5 ng/mL
  • ไตรมาสที่สาม:
    • 65 – 290 ng/mL
  1. ในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน (Menopause):
  • < 0.1 – 0.3 ng/mL

หากคุณสงสัยว่าระดับโปรเจสเตอโรนของคุณสูงผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจสอบเพิ่มเติม โดยเฉพาะหากคุณอยู่ในกระบวนการรักษาภาวะมีบุตรยากหรือการทำ IVF แพทย์จะทำการติดตามระดับฮอร์โมนเพื่อให้มั่นใจว่าอยู่ในช่วงที่เหมาะสม

รักษาผู้มีบุตรยาก, มีบุตรยาก, เด็กหลอดแก้ว

นัดหมายปรึกษาแพทย์

iBaby Fertility & Genetic Center
ชั้น 11 อาคารแอทธินี ทาวเวอร์
จันทร์ – เสาร์ เวลา 8.00 – 16.00 น.

สอบถามเพิ่มเติม

Tel : +6621688640
Tel : +6621688641
Tel : +6621688642
Tel : +6621688643
Mail : info@iBabyFertility.com
Line : @iBaby