ฮอร์โมน P4 หรือโปรเจสเตอโรน (Progesterone) มีความสำคัญในการช่วยให้ตัวอ่อนฝังตัวในมดลูกได้สำเร็จ
หน้าที่หลักของโปรเจสเตอโรน
- เตรียมเยื่อบุโพรงมดลูกให้พร้อมสำหรับการฝังตัวของตัวอ่อน
- หลังจากการตกไข่ รังไข่จะเริ่มผลิตโปรเจสเตอโรน ซึ่งช่วยกระตุ้นให้เยื่อบุโพรงมดลูก (endometrium) มีความหนาและสมบูรณ์ขึ้น เพื่อเตรียมรองรับตัวอ่อน แต่ถ้าหากเยื่อบุโพรงมดลูกไม่หนาพอ และไม่สมบูรณ์พอ ตัวอ่อนก็จะไม่สามารถฝังตัวได้
- ป้องกันการหดตัวของกล้ามเนื้อมดลูก
- ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการรักษาการตั้งครรภ์ในระยะแรก โดยป้องกันการหดตัวของกล้ามเนื้อมดลูก ซึ่งอาจทำให้ตัวอ่อนถูกขับออกจากมดลูกก่อนที่จะฝังตัวสำเร็จ
- ส่งเสริมการพัฒนาของตัวอ่อนหลังการฝังตัว
- หลังจากที่ตัวอ่อนฝังตัวและเริ่มพัฒนาไปเรื่อย ๆ โปรเจสเตอโรนจะช่วยให้การสร้าง รก (placenta) ซึ่งรกมีความสำคัญในการนำสารอาหาร และออกซิเจนจากแม่ไปยังทารกในครรภ์
- ป้องกันการหลุดของตัวอ่อนหลังจากการฝังตัวในมดลูก
- โดยโปรเจสเตอโรนมีหน้าที่ป้องกันไม่ให้ตัวอ่อนถูกขับออกจากมดลูกในช่วงแรก ๆ ของการพัฒนา ถ้าหากไม่มีการตั้งครรภ์ ระดับโปรเจสเตอโรนจะลดลง และเยื่อบุโพรงมดลูกจะหลุดลอกออก ทำให้เกิดการมีประจำเดือน แต่ถ้ามีการตั้งครรภ์เกิดขึ้น โปรเจสเตอโรนจะยังคงสูงขึ้น เพื่อป้องกันการหลุดลอกของเยื่อบุโพรงมดลูก ทำให้ตัวอ่อนสามารถพัฒนาได้ต่อไป
หากฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (P4) ต่ำจะส่งผลอย่างไร
- มีปัญหาในการตั้งครรภ์:
- โปรเจสเตอโรนมีบทบาทสำคัญในการเตรียมเยื่อบุโพรงมดลูกให้พร้อมสำหรับการฝังตัวของตัวอ่อน หากระดับโปรเจสเตอโรนต่ำ เยื่อบุโพรงมดลูกอาจไม่หนาพอที่จะรองรับตัวอ่อน ทำให้การฝังตัวล้มเหลว หรือมีความเสี่ยงในการแท้งบุตรสูงขึ้น
- สำหรับผู้ที่ทำ IVF (การทำเด็กหลอดแก้ว) การมีระดับโปรเจสเตอโรนที่เพียงพอเป็นสิ่งสำคัญมาก เพื่อเพิ่มโอกาสในการฝังตัวและพัฒนาการของตัวอ่อน
- ปัญหาในรอบเดือน:
- หากระดับโปรเจสเตอโรนต่ำ ร่างกายอาจไม่สามารถรักษาสมดุลของฮอร์โมนได้ ทำให้รอบเดือนผิดปกติ เช่น ประจำเดือนมาน้อยหรือขาดหายไป
- อาจเกิดปัญหาภาวะไข่ไม่ตก (anovulation) ซึ่งทำให้ไม่สามารถตั้งครรภ์ได้
- ภาวะก่อนประจำเดือน (PMS):
- ระดับโปรเจสเตอโรนต่ำสามารถทำให้เกิดอาการก่อนมีประจำเดือนที่รุนแรง เช่น ปวดท้อง ปวดหัว อารมณ์แปรปรวน หรือความอ่อนเพลีย
- ภาวะแท้งคุกคาม:
- สำหรับผู้ที่ตั้งครรภ์อยู่ หากระดับโปรเจสเตอโรนต่ำในระยะแรกของการตั้งครรภ์ จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการแท้ง
หากพบว่าระดับโปรเจสเตอโรนต่ำ โดยเฉพาะในระหว่างการทำ IVF หรือในช่วงที่พยายามตั้งครรภ์ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจเพิ่มเติม และแพทย์อาจแนะนำการเสริมโปรเจสเตอโรนเพื่อสนับสนุนกระบวนการต่อไป
โปรเจสเตอโรน (Progesterone) สูง มีได้หลายสาเหตุ อาจเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติหรือผลจากการรักษาทางการแพทย์
สาเหตุที่โปรเจสเตอโรนสูง
- มีการตั้งครรภ์
- ระหว่างการตั้งครรภ์ โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสแรก รังไข่และต่อมหมวกไตจะผลิตโปรเจสเตอโรนมากขึ้น เพื่อสนับสนุนการตั้งครรภ์ ซึ่งถือว่าเป็นปกติและจำเป็นในการรักษาสภาพแวดล้อมของมดลูก และป้องกันการแท้งบุตร
- ในช่วงหลังตกไข่ (Luteal Phase)
- ในรอบเดือนของผู้หญิง ระดับโปรเจสเตอโรนจะเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งหลังของรอบเดือนหลังการตกไข่ เพื่อเตรียมความพร้อมให้เยื่อบุโพรงมดลูกรองรับการฝังตัวของไข่ที่ผสมแล้ว
- การใช้ยาฮอร์โมน หรือการรักษาด้วยการทำเด็กหลอดแก้ว
- สำหรับผู้ที่ทำเด็กหลอดแก้ว หรือผู้ที่ทำการรักษาเพื่อมีบุตร ยาเสริมโปรเจสเตอโรนมักจะถูกใช้เพื่อช่วยเตรียมมดลูกและสนับสนุนการฝังตัวของตัวอ่อน การได้รับฮอร์โมนเสริมอาจทำให้ระดับโปรเจสเตอโรนสูงขึ้น
- ความผิดปกติของถุงน้ำรังไข่ (Corpus Luteum Cyst)
- ถุงน้ำรังไข่ที่เกิดจากการตกไข่อาจทำให้เกิดการผลิตโปรเจสเตอโรนมากกว่าปกติในระยะเวลาสั้น ๆ ซึ่งเป็นภาวะที่มักพบได้ในบางกรณีของ PCOS (ภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ)
- ภาวะต่อมหมวกไตผลิตฮอร์โมนมากเกินไป (Congenital Adrenal Hyperplasia)
- ความผิดปกติในการทำงานของต่อมหมวกไต อาจทำให้เกิดการผลิตโปรเจสเตอโรนสูงเกินไป
- เนื้องอกในรังไข่หรือมดลูก
- เนื้องอกที่ผลิตฮอร์โมน (เช่น เซลล์ลูเทียม หรือ เซลล์สเตียรอยด์) อาจทำให้เกิดการผลิตโปรเจสเตอโรนสูงขึ้น
- การใช้ยา
- ยาบางชนิด เช่น ยาคุมกำเนิด หรือฮอร์โมนที่ใช้ในการรักษาภาวะอื่น ๆ อาจส่งผลให้ระดับโปรเจสเตอโรนสูงขึ้น
- ความเครียด
- ความเครียดในระดับสูงอาจทำให้ระดับฮอร์โมนในร่างกายเปลี่ยนแปลง ซึ่งอาจมีผลต่อระดับโปรเจสเตอโรน
ผลกระทบจากโปรเจสเตอโรนสูง
- อาการในร่างกาย
- อาจเกิดอาการบวมน้ำ น้ำหนักขึ้น หรือท้องอืด
- อาจทำให้รู้สึกเวียนหัว เหนื่อยล้า หรืออ่อนเพลีย
- มีอาการเจ็บคัดเต้านม หรือรู้สึกอึดอัดบริเวณหน้าอก
- มีสิวหรือปัญหาผิว เนื่องจากฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง
- บางคนอาจมีอารมณ์แปรปรวน หรือรู้สึกซึมเศร้า หรือวิตกกังวล
- ส่งผลต่อรอบเดือน
- ระดับโปรเจสเตอโรนที่สูงเกินไปอาจทำให้รอบเดือนมาไม่ปกติ หรืออาจทำให้ประจำเดือนมาช้ากว่าปกติ
- ส่งผลต่อการเจริญพันธุ์
- ในกรณีของการทำ IVF ระดับโปรเจสเตอโรนที่สูงเกินไปก่อนการย้ายตัวอ่อนอาจส่งผลต่อการฝังตัวได้ เนื่องจากเยื่อบุโพรงมดลูกอาจเตรียมตัวล่วงหน้ามากเกินไป
ระดับฮอร์โมน P4 (โปรเจสเตอโรน) ที่ถือว่าปกติจะแตกต่างกันไปตามช่วงเวลาของรอบเดือนหรือการตั้งครรภ์ โดยทั่วไปมีค่าดังนี้
- ในผู้หญิงที่ไม่ได้ตั้งครรภ์
- ช่วงก่อนตกไข่ (Follicular Phase):
- 0.1 – 0.9 ng/mL
- ช่วงตกไข่ (Ovulation Phase):
- 1.8 – 3.0 ng/mL
- ช่วงหลังตกไข่ (Luteal Phase):
- 2.0 – 25.0 ng/mL
- ค่าช่วงหลังตกไข่จะสูงขึ้นเพราะรังไข่จะผลิตโปรเจสเตอโรนเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการฝังตัวของไข่
- ในผู้หญิงที่ตั้งครรภ์
ระดับโปรเจสเตอโรนจะสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงตั้งครรภ์เพื่อสนับสนุนการพัฒนาของทารกและป้องกันการแท้งบุตร:
- ไตรมาสแรก:
- 10 – 44 ng/mL
- ไตรมาสที่สอง:
- 19.5 – 82.5 ng/mL
- ไตรมาสที่สาม:
- 65 – 290 ng/mL
- ในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน (Menopause):
- < 0.1 – 0.3 ng/mL
หากคุณสงสัยว่าระดับโปรเจสเตอโรนของคุณสูงผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจสอบเพิ่มเติม โดยเฉพาะหากคุณอยู่ในกระบวนการรักษาภาวะมีบุตรยากหรือการทำ IVF แพทย์จะทำการติดตามระดับฮอร์โมนเพื่อให้มั่นใจว่าอยู่ในช่วงที่เหมาะสม

นัดหมายปรึกษาแพทย์
iBaby Fertility & Genetic Center
ชั้น 11 อาคารแอทธินี ทาวเวอร์
จันทร์ – เสาร์ เวลา 8.00 – 16.00 น.
สอบถามเพิ่มเติม
Tel : +6621688640
Tel : +6621688641
Tel : +6621688642
Tel : +6621688643
Mail : info@iBabyFertility.com
Line : @iBaby