ว่าด้วยเรื่องของ “ช่องคลอด”

สิ่งหนึ่งที่เราเรียนรู้เกี่ยวกับอวัยวะนี้ คือเป็นมากกว่าทางเข้าระหว่างการมีเพศสัมพันธ์และการปล่อยอสุจิ และการเป็นมากกว่าทางออกมาดูโลกกว้างของเหล่าเด็กทารกน้อย ๆ ที่เดินทางออกมาจากตัวของคุณแม่ทั้งหลาย นั่นคือสาว ๆ หลายคนที่มีปัญหายังไม่ทราบแน่ชัดว่าสามารถมีปัญหาอะไรได้บ้าง และลามไปถึงการเป็นโรคต่าง ๆ iBaby จึงขอมาให้ความรู้ในบทความนี้ให้หมดเปลือก เกี่ยวกับเรื่องของ “ช่องคลอด” กันค่ะ

ช่องคลอด อยู่ตรงไหน ?

ปกติแล้วช่องคลอดของผู้หญิงแต่ละคนนั้นมีรูปร่างและลักษณะที่แตกต่างกันออกไป หากคุณคอยเช็คบริเวณปากมดลูก หรือ ของคุณอย่างสม่ำเสมอนั้น คุณอาจจะสังเกตการเปลี่ยนแปลงภายในเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้ โดยการนั่งยอง ๆ แล้วใช้กระจกส่องทางด้านนอก คุณจะเห็นลักษณะภายนอกของอวัยวะเพศหญิง ซึ่งจะเห็นได้แค่เพียงบริเวณปากช่องคลอดเท่านั้น

ช่องคลอด

Mons pubis ในภาษาไทยเรียก หัวหน่าว หรือ เนินอวัยวะเพศ อยู่บนสุดมีหน้าที่เป็นเกราะเพื่อป้องกันการกระแทกของกระดูกหัวหน่าว หรือ Pubic bone ระหว่างการมีเพศสัมพันธ์กับฝ่ายตรงข้าม บริเวณนี้หลัก ๆ แล้วจะมีไขมันที่เป็นก้อนนูนลักษณะคล้ายสามเหลี่ยม หากยืนหรือนอนเราจะสังเกตว่ามันนูนขึ้นมา รวมไปถึงในบริเวณนี้จะมีการสร้างกลิ่นฟีโรโมน (Pheromone) จากต่อมสร้างกลิ่นซึ่งในบริเวณหัวหน่าวนี้เอง

ปุ่ม Clitoris หรือ คลิตอริส จะอยู่ต่ำลงมาจากหัวหน่าว คลิตอริสจะเป็นอวัยวะมีลักษณะเป็นปุ่มยื่นออกมา บางคนเห็นเป็นปุ่มชัดเจน บางคนก็ไม่ชัดเจนเนื่องจากมีเนื้อเยื่อคลุมอยู่ ให้นึกถึงอวัยวะเพศชาย หรือองคชาติ ที่มีหนังหุ้มปลาย สามารถแข็งตัวและใหญ่ขึ้นได้เมื่อถูกกระตุ้นสัมผัส แต่มีลักษณะเล็กกว่าองคชาติมาก เป็นอวัยวะที่มีประสาทสัมผัสจำนวนมาก จึงไวต่อการสัมผัส คนทั่วไปจึงเรียกคลิตอริสนี้ในนามปุ่มกระสันนั่นเอง ซึ่งบริเวณปลายของคลิตอริสมีเซลล์ประสาทมากถึง 8,000 เซลล์ ขณะที่องคชาติมีเซลล์ประสาทเพียง 4,000 เซลล์เท่านั้น

รูท่อปัสสาวะ หรือ Urethra จะอยู่ต่ำลงมาระหว่างปากช่องคลอดกับคลิตอริส ซึ่งจะเป็นทางออกของปัสสาวะ

แคมเล็ก หรือ Labia minora และ แคมใหญ่ Labia majora จะอยู่ด้านข้างทั้งซ้ายและขวา ข้าง ๆ คลิตอริสและรูท่อปัสสาวะ โดยที่แคมใหญ่จะเป็นผิวหนังด้านนอกสุดและในสุดจะเป็นแคมเล็กที่เชื่อมต่อกัน ส่วนใหญ่แล้วแคมใหญ่จะมีสีเหมือนกับผิวหนังชั้นนอกของเราบริเวณใกล้เคียง และแคมเล็กจะมีสีชมพูหรือน้ำตาลที่สดหรือเข้มกว่ารวมไปถึงเป็นบริเวณที่บอบบางกว่าแคมใหญ่ ลักษณะของแคมเล็กนั้นบางคนอาจมีเนื้อที่ใหญ่หรือเล็กก็ได้ ขึ้นอยู่กับสรีระของอวัยวะเพศ รวมไปถึงสีสันที่อ่อนหรือเข้ม ตามลักษณะเชื้อชาติและความแตกต่างตามแต่ละบุคคล ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการใช้งานแต่อย่างใด

ภายในช่องคลอด

ช่องคลอด หรือ Vagina

จะมีลักษณะคล้ายท่อหรือช่อง ที่ยาวเข้าไปในร่างกายของสาว ๆ และผนังช่องคลอดมีลักษณะคล้ายจีบของร่มที่พับอยู่ สามารถกางขยายออกมาได้เหมือนร่มที่กางในระหว่างที่มีการสอดใส่ ซึ่งหากเราส่องดูเอง อาจเห็นเพียงแค่ปากช่องคลอดเท่านั้น หากจะดูทั้งช่องคลอด ต้องทำการตรวจโดยสูตินรีแพทย์ที่เชี่ยวชาญในการใช้เครื่องมือต่าง ๆ เพื่อดูความผิดปกติที่เกิดขึ้นในช่องคลอด ซึ่งปลายทางของช่องคลอดเราจะเจอปากมดลูก หรือ Uterine cervix นั่นเอง

ช่องคลอดสามารถยืดหดได้ตลอดทั้งชีวิตของผู้หญิง อย่างในกรณีของการคลอดบุตร ช่องคลอดจะขยายได้ตามความกว้างของเส้นผ่านศูนย์กลางของหัวและตัวของเด็กทารก ประมาณ 10 เซนติเมตรบวกลบ เพื่อให้การคลอดลูกเป็นไปได้อย่างราบรื่นและสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี และสำหรับความยาวนั้นโดยเฉลี่ยแล้วช่องคลอดจะมีความยาวประมาณ 3-4 นิ้ว แต่สามารถขยายได้ถึง 200% หรือมากกว่านั้นเมื่อถูกกระตุ้น

ดังนั้นการดูเพียงลักษณะภายนอกของช่องคลอดจึงยากที่จะบอกได้ว่า ช่องคลอดของคุณนั้นสุขภาพดีหรือไม่ เว้นเสียแต่ว่ามีความผิดปกติหรืออาการไม่พึงประสงค์ต่าง ๆ เกิดขึ้น อย่าง มีกลิ่นที่เปลี่ยนไป ตกขาวเปลี่ยนไป เจ็บหรือแสบ

8 วิธีสร้างรอยยิ้มให้กับ ช่องคลอด

สุขภาพช่องคลอดเป็นส่วนสำคัญของสุขภาพโดยรวมของสาว ๆ เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นบริเวณอวัยวะนี้อาจส่งผลต่อภาวะเจริญพันธ์ุ การมีเพศสัมพันธ์ และการถึงจุดสุดยอดหรือ orgasm นอกจากนี้หากปัญหาที่เกิดขึ้นกลายเป็นปัญหาเรื้อรัง อาจส่งผลต่อสุขภาพจิต อย่างทำให้เกิดภาวะเครียด ความมั่นใจในตัวเองลดต่ำลง และมีปัญหาความสัมพันธ์ได้ในที่สุด

1. ไม่สวนล้างเข้าไปในช่องคลอด

สาว ๆ บางคนชอบสวนล้างช่องคลอด เพราะเข้าใจว่าจะทำให้ช่องคลอดของคุณสะอาดและสดชื่นขึ้น แต่นอกจากจะเป็นการเข้าใจที่ผิดมหันต์แล้ว ยังเป็นการทำลายสมดุลของช่องคลอดด้วย ช่องคลอดเป็นอวัยวะที่น่าทึ่ง ที่สามารถทำความสะอาดตัวเองได้เป็นอย่างดี ภายในช่องคลอดจะมีการสร้างสมดุลของแบคทีเรียที่ดี และปรับระดับ pH เองได้ การสวนล้างจะกำจัดแบคทีเรียที่ดีออกไป ทำให้ค่า pH เปลี่ยนจนเสียสมดุล และทำให้คุณติดเชื้อได้ง่ายมากขึ้น ดังนั้นเวลาล้างอวัยวะเพศของสาว ๆ จึงควรล้างเฉพาะภายนอกเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องสวนล้างเข้าไปในช่องคลอด

2. ใช้แค่น้ำสะอาดล้างก็เพียงพอ
ช่องคลอดเป็นอวัยวะที่ทำความสะอาดตัวเอง การใช้สารเคมีที่รุนแรง ผ้าเช็ดทำความสะอาด ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่เคลมว่าทำให้ขาวขึ้น หอมขึ้น กระชับขึ้น ฯลฯ ส่วนใหญ่นั้นไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับว่าได้ผลจริง และอาจนำไปสู่ปัญหาทางช่องคลอดอื่น ๆ ได้ โดยเฉพาะสาว ๆ ที่มีผิวที่บอบบางเป็นพิเศษ ควรระวังสบู่และแชมพูที่คุณใช้ขณะอาบน้ำด้วย แม้แต่น้ำยาซักผ้า น้ำยาปรับผ้านุ่ม น้ำหอมเพิ่มความหอมของเสื้อผ้าต่าง ๆ และสารหล่อลื่นบางชนิดก็สามารถก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อช่องคลอดของคุณได้

3. ปล่อยให้ดกดำไม่ใช่เรื่องผิด

ในยุคสมัยนี้ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า การกำจัดขนด้วยวิธีต่าง ๆ นั้นเป็นที่นิยมในวงกว้าง ไม่ว่าจะเป็นการแว็กซ์ หรือการทำเลเซอร์กำจัดขน แต่รู้หรือไม่ว่า การมีขนบริเวณหัวหน่าวนั้นมีประโยชน์มากกว่ามีโทษ นอกจากจะช่วยปกป้องน้องสาวของคุณจากแบคทีเรียส่วนเกิน และยังช่วยขจัดปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการเสียดสีและเหงื่อออกอีกด้วย การกำจัดขนให้มีน้อยลงยังหมายถึง คุณต้องเจอกับอาการคันเมื่อขนขึ้นใหม่ หรือกลายเป็นขนขุด และนี่ยังไม่นับการกำจัดขนที่อาจจะมีการบาดและถลอกได้อีกด้วย หากคุณต้องการกำจัดออกไปบ้างเพื่อไม่ให้รกรุงรัง ก็สามารถตัดเล็มไปในแนวบิกินี่ไลน์ก็เพียงพอแล้ว

4. ตรวจดูส่วนประกอบของเจลหล่อลื่น

การใช้เจลหล่อลื่นกลายเป็นตัวช่วยที่สำคัญสำหรับคู่รักในยุคสมัยนี้ไปแล้ว และแม้ว่ามันจะไม่ใช่เรื่องที่ดูสุ่มเสี่ยงอะไรเท่าไหร่นัก แต่กระนั้นก็ยังมีส่วนผสมบางอย่างที่ไม่ดีต่อสุขภาพช่องคลอดของคุณ ให้ระวังส่วนผสมต่อไปนี้ไว้ กลีเซอรีน แม้ว่าส่วนประกอบนี้จะเข้าไปเพิ่มความชุ่มชื้นภายในช่องคลอด แต่ก็ทำให้แบคทีเรียไม่ดีเติบโตในช่องคลอดได้เช่นกัน นอกจากนี้ยังต้องระวังผลิตภัณฑ์จากปิโตรเลียม พาราเบน กลิ่นต่าง ๆ จากน้ำหอมสังเคราะห์ รสชาติ สี และน้ำมันสังเคราะห์ จะเข้าไปทำลายระดับ pH หรือความเป็นกรดด่างตามธรรมชาติทำให้เพิ่มโอกาสเสี่ยงติดเชื้อราภายในช่องคลอด

5. ดูแลสุขภาพทั้งร่างกาย

การกินอาหารที่มีประโยชน์ ครบห้าหมู่ และได้รับวิตามินเกลือแร่ที่จำเป็นอย่างเพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ควบคุมน้ำหนักในอยู่ในเกณฑ์ ไม่ผอมหรืออ้วนจนเกินไป ไม่เพียงดีต่อร่างกายของคุณเท่านั้น แต่ยังดีต่ออวัยวะเพศและช่องคลอดของคุณด้วย ในทางกลับกัน ภาวะเรื้อรังต่าง ๆ อาจทำให้น้องสาวของคุณมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น อย่างการเป็นโรคเบาหวานที่ควบคุมได้ไม่ดี จะทำให้เสี่ยงติดเชื้อยีสต์และการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ (UTIs)

6. Safe SEX

ที่ไม่ใช่แค่การใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง เพราะรวมไปถึงการตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นประจำ และนอกเหนือการตรวจดูส่วนประกอบของเจลหล่อลื่นแล้ว ยังต้องดูส่วนประกอบของถุงยางอนามัยด้วย เพราะถุงยางบางยี่ห้อจะใส่สารเคมีที่สามารถฆ่าเชื้ออสุจิ หรือ Spermicides ที่นอกจากจะฆ่าอสุจิได้แล้ว แต่ยังส่งผลเสียต่อสุขภาพช่องคลอดเช่นกัน เพราะยาฆ่าเชื้ออสุจิจะไปฆ่าแบคทีเรียที่ดีในช่องคลอดของสาว ๆ ด้วยเช่นกัน

7. ใส่เสื้อผ้าและชั้นในที่ระบายอากาศ

โดยเฉพาะอากาศประเทศไทยที่ร้อนชื้น ชุดชั้นในที่ทำจากผ้าฝ้าย จะมีคุณสมบัติดูดความชื้นเพื่อจำกัดความชื้นส่วนเกิน ที่ช่วยให้แบคทีเรียเจริญเติบโตได้ดี ไม่ว่าคุณจะชอบชุดชั้นในแบบไหน อย่าลืมซักทุกวัน เปลี่ยนทุกวัน อย่าใส่ซ้ำ

8. ปลดปล่อยน้องจิ๊มิ

ไม่ได้พูดเล่น แต่การสลับไม่ใส่ชั้นในบ้างระหว่างอยู่ที่บ้านหรือไม่ใส่ชั้นในนอนนั้น ดีต่อสุขภาพช่องคลอดของคุณ ไม่ว่าคุณจะใส่ชุดชั้นในแบบใดในระหว่างวัน การไม่สวมกางเกงในนอน จะช่วยให้ช่องคลอดของคุณหายใจได้ และไม่ได้มีประโยชน์เพียงแค่นั้น งานวิจัยบางชิ้นแนะนำว่าอุณหภูมิที่เย็นกว่านั้นดีต่อสุขภาพของคุณ

ปัญหา ช่องคลอด ที่พบบ่อย

ช่องคลอดเป็นอีกอวัยวะหนึ่งที่ต้องดูแล แต่ก็อาจจะเกิดสิ่งปกติเหล่านี้ขึ้นได้เช่นกัน

ตกขาว

โดยปกติแล้วผู้หญิงจะมีตกขาวบ้างอยู่แล้ว ลักษณะตกขาวที่ดีมักจะสีใสหรือสีขาวและไม่มีกลิ่น ความข้นหรือใสนั้นอาจขึ้นอยู่กับระยะของรอบประจำเดือน ยิ่งช่วงใกล้การมีประจำเดือน ตกขาวจะมีลักษณะที่ข้นขึ้นและสีเข้มขึ้นกว่าเดิมได้ ในช่วงเวลาตกไข่ตกขาวมักจะสีใส มีลักษณะเป็นเมือกและมีความยืด หลังจากหมดประจำเดือนตกขาวอาจมีสีน้ำตาลเนื่องจากช่องคลอดจะชะล้างเลือดที่มีการตกค้างอยู่ออกจากร่างกาย ดังนั้นหากตกขาวผิดปกติ ตกขาวมีสีและกลิ่นที่ผิดปกติจากนี้ อาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อหรืออักเสบในช่องคลอด ควรจะได้การตรวจวินิจฉัยและรักษาโดยแพทย์ จึงไม่ควรลังเลที่จะไปพบแพทย์หากเกิดอาการ เพื่อตรวจวินิจฉัยและรักษาได้อย่างตรงจุด

ช่องคลอดมีกลิ่น

ช่องคลอดมีกลิ่น

หนึ่งในความเข้าใจผิดจากการตลาดและโฆษณาของผลิตภัณฑ์น้ำยาชำระล้างจุดซ่อนเร้น คือบริเวณนั้นของสาว ๆ ต้องมีกลิ่นหอม จนทำให้คุณผู้หญิงหลายต่อหลายคนล้างช่องคลอดมากเกินความจำเป็น กลายเป็นการทำลายสมดุลภายในช่องคลอด และยังเสี่ยงทำให้ติดเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราในช่องคลอดได้อีกด้วย ปกติแล้วบริเวณขาหนีบจะมีต่อมเหงื่อซึ่งก็ไม่แปลกเลยที่จะมีกลิ่น แต่กลิ่นแบบไหนที่น่าเป็นห่วง กลิ่นแบบไหนที่เรียกว่าปกติ

กลิ่นเปรี้ยว สาเหตุของกลิ่นช่องคลอดที่เปรี้ยวฉุน นั่นก็เพราะความเป็นกรด ค่า pH ของช่องคลอดที่แข็งแรงของสาว ๆ วัยเจริญพันธุ์จะมีค่าเป็นกรดเล็กน้อย ระหว่าง 4.0 ถึง 4.5 ค่านี้อาจสูงขึ้นเล็กน้อยหากสาวใหญ่เข้าสู่วัยหมดประจำเดือน ซึ่งกลิ่นเปรี้ยวนี้จะคล้าย นมเปรี้ยว ขนมปังจากยีสต์ธรรมชาติ หรือ sourdough bread เบียร์แลมบิก หรือ เบียร์เปรี้ยว หรือ sour beer และหากช่องคลอดมีกลิ่นเปรี้ยวนั่นคือเรื่องธรรมดา แสดงว่ามีแบคทีเรียที่ดีในช่องคลอด ประโยชน์ของมันคือเป็นการช่วยป้องกันการเติบโตของแบคทีเรียที่ไม่ดีนั่นเอง

กลิ่นทองแดงหรือโลหะ สาเหตุของกลิ่นช่องคลอดมีกลิ่นนี้ ส่วนใหญ่แล้วอาจเกิดขึ้นได้ในช่วงก่อนประจำเดือนมาหรือหลังประจำเดือนมา เนื่องจากในเลือดประจำเดือนนั้นมีธาตุเหล็กซึ่งอาจมีกลิ่นโลหะ และอีกสาเหตุคือการร่วมเพศ ที่รุนแรงเกินไปหรือช่องคลอดอาจแห้งเกินไป อาจทำให้เกิดบาดแผลถลอกเล็ก ๆ ในบริเวณช่องคลอดได้ เป็นสาเหตุให้มีเลือดออกมาเล็กน้อยได้เช่นกัน หากช่องคลอดของคุณสัมผัสกับน้ำอสุจิ จะทำให้ค่า pH เปลี่ยนแปลง และเกิดกลิ่นโลหะได้ อย่างไรก็ตามกลิ่นโลหะนี้ไม่ควรจะมีนานเกินไปหลังจากหมดประจำเดือน หากมีอาการคันและตกขาวร่วมด้วย หรือมีกลิ่นโลหะนานเกินไป ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อสาเหตุ

กลิ่นหวาน ช่องคลอดที่มีกลิ่นหวาน ไม่ได้หมายถึงกลิ่นหอมหวานอย่างกลิ่นคุ้กกี้อบใหม่ และกลิ่นหวานนี้เองก็มีสาเหตุมาจากแบคทีเรียเช่นกัน ร่างกายของสาว ๆ มีการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศของแบคทีเรียอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา และแน่นอนว่าในบางครั้งช่องคลอดเราก็มีกลิ่นหวานได้เหมือนกัน

กลิ่นสารเคมี เหมือนห้องน้ำที่ผ่านการทำความสะอาด สารฟอกขาว หรือกลิ่นแอมโมเนีย สาเหตุของกลิ่นมาจากปัสสาวะ ที่มีแอมโมเนียที่เรียกว่ายูเรีย การสะสมของกลิ่นอาจมาจากกางเกงใน แต่ปัสสาวะที่มีกลิ่นแอมโมเนียแรงมาจากการขาดน้ำในร่างกาย หรือกลิ่นอาจจะมาจากแบคทีเรียก็ได้เช่นกัน

กลิ่นดินหรือกลิ่นสมุนไพร หลายกรณีพบว่ากลิ่นช่องคลอดประเภทนี้มีความคล้ายคลึงระหว่างกลิ่นตัวกับกลิ่นกัญชา สาเหตุของกลิ่นตัวเหม็น นั่คือความเครียดทางอารมณ์ ร่างกายของคุณประกอบด้วยต่อมเหงื่อ 2 ชนิด คือ อะโพไครน์ (apocrine) และเอคไครน์ (eccrine) ต่อม eccrine จะผลิตเหงื่อเพื่อทำให้ร่างกายเย็นลง และต่อม Apocrine ที่อยู่บริเวณรักแร้และขาหนีบจะตอบสนองต่ออารมณ์เครียดหรือวิตกกังวล จะมีการผลิตของเหลวคล้ายน้ำนมออกมา ตัวของเหลวแม้ไม่มีกลิ่นของตัวเอง แต่เมื่อสัมผัสกับแบคทีเรียในช่องคลอดบริเวณปากช่องคลอด ก็สามารถทำให้กลิ่นมีความฉุนขึ้นได้

กลิ่นคาว ส่วนใหญ่แล้วมีสาเหตุมาจากการที่ช่องคลอดเกิดการอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย อีกหนึ่งสาเหตุคือเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ พยาธิในช่องคลอด Trichomoniasis โดยปกติแล้วอาการของโรคคือช่องคลอดจะมีกลื่นคาว ซึ่งจะฉุนกว่าภาวะการมีแบคทีเรียในช่องคลอด หากมีกลิ่นที่รุนแรงมาก สิ่งที่ควรรีบทำคือรีบไปพบแพทย์

กลิ่นบูดเน่า หากเกิดกลิ่นนี้ขึ้นมา สิ่งที่เน่าเหม็นอาจไม่ใช่ช่องคลอด แต่เป็นอะไรที่อยู่ในนั้นมากกว่า สาเหตุของกลิ่นเน่านี้ส่วนใหญามาจากผ้าอนามัยแบบสอดที่สาว ๆ ลืมไว้ในนั้น มีตั้งแต่หลายวันจนถึงเป็นสัปดาห์ วิธีแก้ง่ายมากคือแค่อย่าลืมเอาผ้าอนามัยแบบสอดออกมาทุกครั้ง

ช่องคลอดแห้ง

ช่องคลอดแห้ง

ผนังช่องคลอดจะมีของเหลวใส ๆ ที่เป็นตัวช่วยให้มีการหล่อลื่น ซึ่งฮอร์โมนเอสโตรเจนเป็นฮอร์โมนที่ช่วยในการผลิตของเหลวนี้ออกมา ช่วยให้ช่องคลอดมีสุขภาพที่ดี มีความหนา และความยืดหยุ่น ดังนั้นหากฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลงก็จะส่งผลต่อปริมาณความชื้นของช่องคลอดไปด้วย ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้กับสาว ๆ ทุกวัยจากหลายสาเหตุ

ภาวะช่องคลอดแห้ง หรือ Vaginal dryness นี้ อาจดูเหมือนเรื่องเล็กน้อย แต่อาจกลายเป็นเรื่องที่ส่งผลต่อชีวิตเซ็กซ์ของสาว ๆ เลยก็เป็นได้ สาเหตุของช่องคลอดแห้งส่วนใหญ่แล้วจะมาจากการเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน คุณผู้หญิง 1 ใน 3 ต้องรับมือการอาการนี้ผ่านการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ของร่างกาย ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา นอกจากนั้นช่องคลอดจะบางลงและมีการยืดหยุ่นที่น้อยลง ซึ่งเรียกว่า Vaginal atrophy หรือ ช่องคลอดฝ่อ

สำหรับผู้หญิงที่ไม่ได้อยู่ในวัยทองหรือวัยหมดประจำเดือนนั้น ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนอาจลดลงเนื่องจาก

  • การคลอดและการให้นมบุตร
  • การรักษามะเร็งด้วยรังสีหรือเคมีบำบัด
  • การผ่าตัดรังไข่
  • การใช้ยาต้านเอสโตรเจน ซึ่งใช้รักษาเนื้องอกในมดลูก หรือโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่

สาเหตุอื่น ๆ ของภาวะช่องคลอดแห้ง

  • เป็นโรค Sjögren’s syndrome หรือโรคภูมิต้านตนเอง ที่โจมตีเซลล์ในร่างกายที่ผลิตความชื้น
  • การใช้ยารักษาโรคภูมิแพ้และหวัด
  • การใช้ยากล่อมประสาทบางชนิด
  • การสวนล้าง
  • การเล้าโลมก่อนมีเพศสัมพันธ์ไม่เพียงพอจึงทำให้น้ำหล่อลื่นออกมาน้อยเกินไป

แต่ไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุใด ภาวะช่องคลอดแห้งอาจทำให้รู้สึกไม่สบายตัว และอาจทำให้เกิดอาการคัน แสบร้อน เจ็บปวดขณะมีเพศสัมพันธ์

เอสโทรเจน

การรักษาช่องคลอดแห้ง แบบทางการแพทย์

ส่วนใหญ่แล้วการรักษาจะมุ่งแก้ไปที่การเพิ่มปริมาณฮอร์โมนเอสโตรเจนให้มากขึ้น โดยทำการให้ฮอร์โมนทดแทน ซึ่งเป็นการแทนที่ฮอร์โมนที่ร่างกายเคยสร้าง เช่น การใช้ผลิตภัณฑ์ฮอร์โมนทดแทนสอดเข้าไปในช่องคลอด มีแบบวงแหวน (Estring) เปลี่ยนทุก 3 เดือน แบบเม็ด (Vagifem) วัละครั้งในช่วงแรกจากนั้นสัปดาห์ละ 2 ครั้ง แบบครีม (Estrace, Premarin) ทาทุกวัน ทั้งนี้อาจมีผลข้างเคียง เช่น เลือดออกเล็กน้อย เจ็บเต้านม แต่วิธีการรักษานี้ไม่แนะนำให้ใช้ในคนที่เป็นมะเร็งเต้านม มีประวัติมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก มีเลือดออกทางช่องคลอดแต่ไม่ทราบสาเหตุ กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร

7 วิธีรักษาช่องคลอดแห้ง แบบธรรมชาติ

1. เปลี่ยนแปลงไลฟ์สไตล์ เป็นวิธีที่ง่ายที่สุด อาจทำร่วมกับการรักษาอื่น ๆ เพราะการปรับพฤติกรรมเหล่านี้จะส่งผลต่อสุขภาพโดยรวมที่ดีขึ้นได้

2. รักษาความชุ่มชื้น อย่างการดื่มน้ำในปริมาณที่เพียงพอในแต่ละวัน นอกจากจะช่วยในเรื่องของความชุ่มชื้นที่จำเป็นต่อการสร้างน้ำหล่อลื่นแล้ว น้ำยังเป็นส่วนสำคัญในเรื่องของสุขภาพที่ดีของเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย การดูดซึมและขนส่งสารอาหารไปยังอวัยวะในร่างกายอีกด้วย

3. ออกกำลังกายเป็นประจำสม่ำเสมอ แม้การออกกำลังจะเป็นนิสัยที่ดีสำหรับคนทั่วไป แต่การออกกำลังกายมีประโยชน์มากเป็นพิเศษสำหรับสาว ๆ ที่มีปัญหาช่องคลอดแห้ง เพราะเป็นการเพิ่มระดับเซโรโทนิน เสริมการทำงานของฮอร์โมนเอสโตรเจน และยังเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังเนื้อเยื่อต่าง ๆ อารมณ์ดีขึ้น ลดอาการซึมเศร้า ขจัดสารพิษ

4. เลิกบุหรี่ สำหรับสาว ๆ ที่มีภาวะช่องคลอดฝ่อ การสูบบุหรี่นั้นอันตรายมากกว่าคนทั่วไป เพราะเป็นการไปลดฮอร์โมนเอสโตรเจนให้ต่ำลงอย่างมาก และทำให้หลอดเลือดไม่แข็งแรง ส่งผลต่อเนื้อเยื่อในช่องคลอดอ่อนแอลงด้วย

5. อย่ากลัวการร่วมเพศ เรื่องเซ็กซ์เป็นเรื่องสำคัญของชีวิตคู่ สาว ๆ หลายคน เมื่อมีภาวะช่องคลอดแห้งนั้น ทำให้มีประสบการณ์แย่ ๆ ระหว่างกิจกรรมร่วมรัก ไม่ว่าจะเป็นความไม่สบายตัว เจ็บขณะสอดใส่ ความมั่นใจในตัวเองลดลง ตลอดไปจนมีความเครียดในการทำกิจกรรมเข้าจังหวะในแต่ละครั้ง ทำให้บางทีก็บ่ายเบี่ยง หรือไม่ยินยอมให้คู่รักมีเซ็กซ์แบบสอดใส่ กลายเป็นเกิดปัญหาในชีวิตคู่ตามมา วิธีแก้ไขที่ทำได้ง่ายคือการพูดคุยเปิดอกระหว่างกัน เพื่อหาทางออกหรือพัฒนาระดับความสัมพันธ์ร่วมกัน การกระตุ้นอารมณ์ก่อนการสอดใส่ เป็นการเพิ่มปริมาณน้ำหล่อลื่นออกมามากขึ้นตามธรรมชาติ ในการทำการบ้านอาจจะใช้เจลหล่อลื่นร่วมด้วยตามสมควร

6. หลีกเลี่ยงน้ำหอมและสารเคมี ที่ทำให้เกิดการระคายเคือง ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ อย่าง สบู่ ผงซักฟอก น้ำยาปรับผ้านุ่ม น้ำหอม สิ่งเหล่านี้อาจเป็นเรื่องเล็กที่คุณมองข้าม แต่มันส่งผลทำให้เกิดการระคายเคืองและทำให้ผิวแห้งขึ้นไปอีก

7. โพรไบโอติก มีงานวิจัยชี้ว่าโพรไบโอติกช่วยให้อาการของช่องคลอดแห้งดีขึ้นได้ โดยช่วยรักษาระดับ pH ของจุลินทรีย์ในช่องคลอดให้สมดุล จุลินทรีย์เหล่านี้มีบทบาทสำคัญที่ช่วยให้ช่องคลอดมีสุขภาพที่ดี

ช่องคลอดอักเสบ

ช่องคลอดอักเสบ

ภาวะช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย หรือ Bacterial vaginosis (BV) สามารถเกิดขึ้นได้บ่อยในวัยตั้งแต่ 15-44 ปี เป็นภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อมีแบคทีเรียบางชนิดในช่องคลอดมากเกินไป จนทำลายสมดุลของแบคทีเรียในช่องคลอด ซึ่งสาเหตุของภาวะนี้แม้แต่นักวิจัยก็ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่มักจะเกิดในผู้ที่มีการสวนล้างช่องคลอด การไม่ใช้ถุงยางอนามัยขณะร่วมเพศ และการมีคู่นอนใหม่หรือหลายคน อย่างไรก็ตามยังไม่มีการทราบผลชัดเจนว่า เพศสัมพันธ์ทำให้เกิดภาวะช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียได้อย่างไร ขณะเดียวกันหากสาว ๆ มีภาวะช่องคลอดอักเสบจะยิ่งมีความเสี่ยงในการเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ ได้มากขึ้นไปอีก

อาการของโรคช่องคลอดอักเสบ

  • มีตกขาวสีขาวหรือสีเทา
  • ปวด คัน หรือแสบร้อนในช่องคลอด
  • มีกลิ่นคาวโดยเฉพาะหลังมีเพศสัมพันธ์
  • แสบร้อนเมื่อปัสสาวะ
  • คันบริเวณรอบนอกของช่องคลอด

การรักษา

โดยปกติแล้วจะทำการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ สิ่งสำคัญคือต้องรับประทานยาตามที่แพทย์สั่ง แม้ว่าอาการจะหายไปแล้วก็ตาม การรักษาอาจลดความเสี่ยงในการเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ ได้ แต่ก็สามารถกลับมาเป็นได้อีก ในบางครั้งภาวะช่องคลอดอักเสบจะหายไปได้เอง แม้ไม่ได้รับการรักษา แต่อย่างไรก็ตาม การรักษาจะช่วงลดความเสี่ยงต่อสุขภาพที่ร้ายแรง อย่างการติดเชื้อหรือแพร่เชื้อ HIV เสี่ยงคลอดก่อนกำหนด เสี่ยงติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ เช่นหนองในและหนองในเทียม เสี่ยงทำให้เกิดโรคกระดูกเชิงกรานอักเสบ (PID) ซึ่งเป็นสาเหตุของมีบุตรยากได้เช่นกัน

วิธีป้องกันโรค

  • การไม่มีเพศสัมพันธ์
  • จำกัดจำนวนคู่นอน
  • ไม่สวนล้างช่องคลอด
  • ใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกวิธีทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์

หากเป็นช่องคลอดอักเสบระหว่างการตั้งครรภ์ จะมีความเสี่ยงคลอดก่อนกำหนด หรือทารกคลอดออกมาแล้วมีน้ำหนักแรกเกิดที่ต่ำกว่าเกณฑ์

ขอบคุณข้อมูลจาก mayoclinic, iflscience, healthline, WebMD, CDC, clevelandclinic