ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน กับ ฮอร์โมนเอสโตรเจน ต่างกันอย่างไร

ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน กับ ฮอร์โมนเอสโตรเจน ต่างกันอย่างไร

ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (Progesterone) และฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) เป็นฮอร์โมนสำคัญที่มีบทบาทในการควบคุมระบบสืบพันธุ์ของผู้หญิง แต่มีหน้าที่และบทบาทที่แตกต่างกัน ดังนี้:

ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (Progesterone)

  1. หน้าที่หลัก: ช่วยในการรักษาการตั้งครรภ์
    • หลังจากการตกไข่ ร่างกายจะผลิตโปรเจสเตอโรนมากขึ้นเพื่อเตรียมมดลูกสำหรับการฝังตัวของไข่ที่ผสมแล้ว
    • ถ้าเกิดการตั้งครรภ์ โปรเจสเตอโรนจะช่วยให้เยื่อบุโพรงมดลูก (Endometrium) แข็งแรงและพร้อมรองรับการเจริญเติบโตของทารก
  2. การควบคุมรอบประจำเดือน: ช่วยควบคุมระยะลูเทียล (Luteal phase) คือช่วงระยะเวลาหลังจากการตกไข่ในรอบประจำเดือน จนถึงวันก่อนที่ประจำเดือนจะมา ระยะนี้จะกินเวลาประมาณ 10-16 วัน ขึ้นอยู่กับร่างกายของแต่ละคน
  3. การลดการบีบตัวของมดลูก: โปรเจสเตอโรนช่วยป้องกันไม่ให้มดลูกบีบตัวแรงเกินไปซึ่งอาจทำให้ทารกหลุดออกมาได้ในช่วงต้นของการตั้งครรภ์

ฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen)

  1. หน้าที่หลัก: ควบคุมลักษณะของเพศหญิง
    • ส่งเสริมการพัฒนาและการบำรุงรักษาลักษณะทางเพศหญิง เช่น การเจริญเติบโตของเต้านม เสียง และรูปร่าง
    • กระตุ้นการเจริญเติบโตของเยื่อบุโพรงมดลูกในช่วงรอบประจำเดือน เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการฝังตัวของไข่
  2. การควบคุมรอบประจำเดือน: มีบทบาทในช่วงแรกของรอบประจำเดือน (Follicular phase) โดยช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของไข่ และเตรียมไข่สำหรับการตกไข่
  3. การป้องกันการสลายของกระดูก: เอสโตรเจนช่วยป้องกันการสูญเสียมวลกระดูก ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้ผู้หญิงที่หมดประจำเดือนมักเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุน

ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน กับ ฮอร์โมนเอสโตรเจน ทำงานควบคู่กัน

ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (Progesterone) และฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) ทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพในการควบคุมรอบประจำเดือน การตั้งครรภ์ และสุขภาพของระบบสืบพันธุ์ในผู้หญิง โดยแต่ละฮอร์โมนจะทำหน้าที่เฉพาะในช่วงเวลาต่าง ๆ ของรอบเดือนและการตั้งครรภ์ ดังนี้:

1. การทำงานร่วมกันในรอบประจำเดือน:

  • ช่วงแรกของรอบเดือน (Follicular phase):
      • ในช่วงแรกของรอบเดือน ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก เอสโตรเจนจะช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของเยื่อบุโพรงมดลูก (Endometrium) เพื่อเตรียมความพร้อมในการรองรับการฝังตัวของไข่ที่ผสมแล้ว และกระตุ้นการพัฒนาไข่ในรังไข่
      • โปรเจสเตอโรนในช่วงนี้ยังอยู่ในระดับต่ำ
  • หลังจากการตกไข่ (Luteal phase):
      • หลังการตกไข่ ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนจะถูกผลิตมากขึ้น โดยเซลล์ของคอร์ปัสลูเทียม (Corpus luteum) ในรังไข่ โปรเจสเตอโรนจะมีบทบาทสำคัญในการทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกหนาและแข็งแรงขึ้น เพื่อเตรียมรับการฝังตัวของไข่ที่ผสมแล้ว
      • ระหว่างนี้เอสโตรเจนยังคงถูกผลิตแต่ในระดับที่ต่ำกว่าโปรเจสเตอโรน
  • ถ้าไม่มีการตั้งครรภ์:
    • เมื่อไม่มีการปฏิสนธิ ระดับของโปรเจสเตอโรนและเอสโตรเจนจะลดลง ทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกหลุดลอกออกมาเป็นประจำเดือน

2. การทำงานร่วมกันในช่วงตั้งครรภ์:

  • หากเกิดการปฏิสนธิ ระดับของทั้งโปรเจสเตอโรนและเอสโตรเจนจะยังคงสูงตลอดการตั้งครรภ์
    • โปรเจสเตอโรน: ช่วยป้องกันการบีบตัวของมดลูกก่อนเวลา ช่วยให้เยื่อบุโพรงมดลูกคงอยู่เพื่อรองรับทารกในครรภ์ และช่วยป้องกันการแท้ง
    • เอสโตรเจน: มีบทบาทในการพัฒนารก (Placenta) และเตรียมร่างกายสำหรับการผลิตน้ำนมหลังคลอด

3. ความสมดุลระหว่างเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน:

  • ความสมดุลของทั้งสองฮอร์โมนมีความสำคัญต่อการทำงานที่เป็นปกติของระบบสืบพันธุ์ ความไม่สมดุลอาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพ เช่น ภาวะประจำเดือนมาไม่ปกติ ภาวะมีบุตรยาก หรือภาวะฮอร์โมนแปรปรวนอื่น ๆ

สรุปคือ เอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนทำงานควบคู่กัน โดยแต่ละฮอร์โมนมีหน้าที่เฉพาะในการควบคุมรอบเดือนและการเตรียมความพร้อมสำหรับการตั้งครรภ์

รักษาผู้มีบุตรยาก, มีบุตรยาก, เด็กหลอดแก้ว

นัดหมายปรึกษาแพทย์

iBaby Fertility & Genetic Center
ชั้น 11 อาคารแอทธินี ทาวเวอร์
จันทร์ – เสาร์ เวลา 8.00 – 16.00 น.

สอบถามเพิ่มเติม

Tel : +6621688640
Tel : +6621688641
Tel : +6621688642
Tel : +6621688643
Mail : info@iBabyFertility.com
Line : @iBaby