เลือดที่ออกเป็นประจำทุกเดือน คือเลือดเสียจริงรึเปล่า ที่จริงแล้วคืออะไรกันแน่ แบบที่มาเป็นปกติต้องเป็นยังไง แล้วอาการอย่างไรถึงเรียกว่าผิดปกติ iBaby จะไขทุกข้อสงสัย
เลือดออกมาทุกเดือน แท้จริงแล้วคืออะไร ?
คือ เยื่อบุโพรงมดลูกปนกับเลือด ซึ่งจะออกมาตามรอบเดือน ตามฮอร์โมนของร่างกาย โดยทั่วไปแต่ละรอบจะประมาณ 28 วัน (นับจากวันที่มาเป็นวันแรกไปถึงวันแรกของรอบถัดไป) และแต่ละครั้งจะมาไม่เกิน 7 วัน ส่วนปริมาณเลือดที่ออกในแต่ละวัน ถ้ามากเกินไป หรือเป็นลิ่มเลือด ก็อาจจะเกี่ยวข้องกับเนื้องอกมดลูกหรือติ่งเนื้อในโพรงมดลูกได้
หากมีระยะเวลาที่ผิดปกติไป อาจจะไปเกี่ยวข้องกับการตกไข่ หรือ ความผิดปกติในโพรงมดลูก หรือ อาจเกี่ยวข้องกับเนื้องอกมดลูกได้ ซึ่งก็อาจจะเป็นสาเหตุของการมีบุตรยากได้
Update Promotion ล่าสุด
สี สำคัญแค่ไหน
ถ้าเลือดที่ออกมาเป็นสีแดงหรือชมพูถือว่าปกติ แต่ถ้าออกมาเป็นสีน้ำตาลหรือสีกาแฟ แปลว่าปริมาณเลือดออกน้อย อาจจะเกี่ยวข้องกับอาการเลือดออกผิดปกติระหว่างรอบ ซึ่งไม่ใช่เลือดระดูจริง ๆ และอาจจะเกี่ยวข้องกับความผิดปกติของปากมดลูกหรือโพรงมดลูกซึ่งควรปรึกษาแพทย์เมื่อมีอาการเหล่านี้
ประจำเดือนปกติ vs ประจำเดือนผิดปกติ
เลือดออกจากช่องคลอดที่เป็นปกติ ต้องสังเกตว่าการออกของเลือดต้องออกเป็นรอบ ๆ คือหนึ่งเดือนออกมาหนึ่งรอบ ซึ่งส่วนใหญ่จะระยะเวลาตรงกันในแต่ละเดือน ถ้ามาเร็วหรือช้ากว่าปกติ อาจจะเกี่ยวข้องกับความผิดปกติของมดลูกหรือปากมดลูกได้ ส่วนเรื่องปริมาณก็สามารถบอกได้ ถ้าปริมาณน้อยมาก เป็นสีน้ำตาลก็อาจจะไม่ใช่ อาจจะถือว่าเป็นเลือดออกผิดปกติ ซึ่งอาจจะเกี่ยวกับการตกไข่ที่ผิดปกติ หรือความผิดปกติของปากมดลูกหรือในโพรงมดลูกมีติ่งเนื้อ ถ้าเลือดออกนานกว่า 7 วัน หรือเลือดออกไม่หยุดสักทีก็ถือว่าผิดปกติ อาจจะเกี่ยวข้องกับความผิดปกติของปากมดลูก หรือในโพรงมดลูกมีติ่งเนื้อได้เช่นเดียวกัน
PMS คืออะไร เกี่ยวข้องอย่างไร
อาการก่อนมีระดู หรือที่เรียกว่า PMS (Premenstrual Syndrome) เกิดจากสารบางอย่างที่หลั่งออกมามากผิดปกติช่วงที่จะมีระดู โดยเฉพาะ Prostaglandin ซึ่งจะมีผลทำให้มีอการปวดท้องน้อย ท้องเสีย คลื่นไส้อาเจียน เวียนศรีษะ ปวดเมื่อย บางคนก็หิว อาการบางอย่าง เช่น มีสิว ก็อาจเกิดจากฮอร์โมนในช่วงนั้นที่อาจจะมากกว่าปกติ
โรคต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อรอบเดือน
ภาวะเลือดออกผิดปกติบางอย่าง อาจไม่ได้เกิดจากมดลูกหรือปากมดลูก แต่อาจจะเกิดจากการทำงานของรังไข่ เช่น ภาวะ PCOS ก็เกิดจากระบบฮอร์โมนในร่างกายผิดปกติทำให้มีการตกไข่ที่ช้ากว่าปกติ หรือไข่ไม่ตกเลย ภาวะเครียดก็ทำให้ไข่ไม่ตกเช่นเดียวกัน ซึ่งทำให้ระดูนั้นมาช้าได้ หรือภาวะรังไข่เสื่อม ซึ่งบางคนอายุอาจจะไม่ถึงเวลาหมด หรือช่วงวัยทอง แต่อาจจะเริ่มมีอาการเหมือนคนที่หมดแล้ว เนื่องจากรังไข่เสื่อม และทำให้ระดูมาเร็วหรือช้าผิดปกติได้เช่นเดียวกัน

Update Promotion ล่าสุด
นับวันไข่ตก
การนับวันไข่ตกต้องดูที่ระยะเวลาของระดูในแต่ละรอบห่างกันกี่วัน ซึ่งดูที่วันแรกของรอบนี้กับรอบต่อไปห่างกันกี่วัน ทั่วไปจะห่างกัน 28 วัน ซึ่งไข่น่าจะตกกลางรอบคือวันที่ 14 (นับจากวันแรกเป็นวันที่หนึ่ง) ซึ่งจะแนะนำให้มีเพศสัมพันธุ์วันเว้นวันในช่วงที่น่าจะตก นั่นคือวันที่ 12,14,16 ของรอบ แต่ถ้าระดูปกติในแต่ละรอบสั้นหรือยาวกว่านั้น ก็ต้องเลื่อนการมีเพศสัมพันธุ์เร็วขึ้นหรือช้าลงตามรอบที่เป็นอีกที
ระยะปลอดภัย หน้า 7 หลัง 7
ระยะปลอดภัยคือระยะที่ไม่มีโอกาสตั้งครรภ์คือไม่ใช่ช่วงที่ไข่ตก ซึ่งจะใช้ได้กับคนที่มีระดูมาสม่ำเสมอเท่านั้น โดยทั่วไปจะใช้วิธีนับหน้า 7 หลัง 7 นั่นก็คือ ก่อนวันที่คาดว่าจะมา 7 วัน ถึงหลังมีระดู 7 วัน ถือว่าเป็นระยะปลอดภัยและจะไม่มีการตั้งครรภ์
ประจําเดือนไม่มา1เดือน ตรวจแล้วไม่ท้อง
การที่เมนส์เดือนไม่มาในแต่ละเดือนนั้น มาจากหลากหลายสาเหตุ อาจไม่ได้หมายความว่าต้องตั้งครรภ์เสมอไป สาเหตุอื่นอาจเป็นได้เช่นเดียวกัน อย่าง ไข่ไม่ตกในรอบเดือนที่ผ่านมา ภาวะถุงน้ำในรังไข่หลายใบ หรือ PCOS เกิดจากฮอร์โมนในร่างกายไม่สมดุล อยู่ในช่วงที่ให้นมบุตร หรือมีอายุที่เริ่มเข้าสู่วัยทอง หรือเป็นปัจจัยที่มาจากไลฟ์สไตล์ เช่นน้ำหนักตัวที่เพิ่มมากขึ้น ความเครียดจากสภาพแวดล้อม การพักผ่อนน้อย การออกกำลังกายหรือใช้ร่างกายอย่างหนัก
ประจําเดือนไม่มา แต่มีตกขาว
ปกติแล้วคุณผู้หญิงจะมีตกขาวเกิดขึ้นตลอดทุกช่วง มากน้อยแตกต่างกันออกไป เช่นในช่วงที่มีรอบเดือน ตกขาวก็อาจปนกับรอบเดือนออกมาได้ เราสามารถสังเกตเองได้ว่าตกขาวสามารถมีลักษณะสีใสขุ่น สีขาว หรือเหลือง มีทั้งลักษณะที่เป็นแป้งเปียกหรือเป็นเมือกลื่นเหมือนกับไข่ขาวก็ได้ และจะมีปริมาณที่มากที่สุดในช่วงประมาณวันที่ 14-25 ของรอบเดือนก่อนวันไข่ตก และก่อนที่ประจำเดือนจะมาตกขาวอาจมีปริมาณน้อยลงจนสังเกตไม่มีว่ามีตกขาวอยู่
ดังนั้นหากประจำเดือนไม่มา แต่ยังมีตกขาวอยู่จึงไม่ใช่เรื่องผิดปกติแต่อย่างใดค่ะ ยกเว้นว่าตกขาวจะมีลักษณะที่ผิดปกติไปจากเดิม เช่น สีเขียว เหลืองเข้ม แดง ชมพู เทา หรือน้ำตาล มีกลิ่นมากกว่าปกติหรือมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ มีอาการอื่นร่วมด้วยเช่น คัน เจ็บ แสบ บริเวณอวัยวะเพศ ขณะร่วมเพศ ขณะปัสสาวะ ก็เป็นไปได้ที่จะมีภาวะติดเชื้อ ควรรีบพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุและรักษาต่อไป
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
- ถุงน้ำในรังไข่แตก อันตรายแค่ไหน?
- เด็กมะเส็ง ปีนี้ไม่ธรรมดา
- What is? Positive ANA, D-dimer, Arcuate uterus, Multiple endometrial polyps คืออะไร?
- คลอดธรรมชาติช่องคลอดหลวมไหม? แก้ไขยังไง?
- โนโรไวรัสกับผลกระทบผู้ที่กำลังทำเด็กหลอดแก้ว
มีข้อสงสัยเพิ่มเติมหรือนัดหมายแพทย์ ติดต่อคลินิก iBaby ได้ที่ช่องทางด้านล่าง
Line: @iBaby หรือ https://lin.ee/xxIlgyJ
Tel: 021688640-43
Email: info@iBabyFertility.com
Website: https://ibabyfertility.com
WeChat: iBaby_Fertility